รายงานการวิจัย (Research reports)
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/91
2024-03-29T10:07:15Z
-
การพัฒนาสื่อส่งเสริมการคิดเชื่อมโยงทางภาษาไทย ด้วยร้อยกรองปริศนาผะหมี กรณีศึกษานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนมัธยมพรสำราญ
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6025
การพัฒนาสื่อส่งเสริมการคิดเชื่อมโยงทางภาษาไทย ด้วยร้อยกรองปริศนาผะหมี กรณีศึกษานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนมัธยมพรสำราญ
ปาลิตา ผลประดับเพ็ชร์; สินทรัพย์ ยืนยาว
เอกสารแนบ
2561-10-01T00:00:00Z
-
พฤติกรรมการอ่านของนักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6024
พฤติกรรมการอ่านของนักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
สมศักดิ์ พันธ์ศิริ; สินทรัพย์ ยืนยาว
เอกสารแนบ
2559-12-01T00:00:00Z
-
การเพิ่มคุณค่าและมูลค่าผลิตภัณฑ์ผ่านอัตลักษณ์ประเพณีตีผึ้งชุมชนสายตรีพัฒนา 3 ตำบลบึงเจริญ อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/6002
การเพิ่มคุณค่าและมูลค่าผลิตภัณฑ์ผ่านอัตลักษณ์ประเพณีตีผึ้งชุมชนสายตรีพัฒนา 3 ตำบลบึงเจริญ อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
สำราญ ธุระตา; สินทรัพย์ ยืนยาว
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา บริบทชุมชน พัฒนาการของชุมชนสายตรีพัฒนา 3 จากอดีตถึงปัจจุบัน 2. เพื่อศึกษาองค์ความรู้ทางวัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณีตีผึ้ง วงจรชีวิตผึ้ง อาหาร แหล่งที่อยู่ของผึ้งชุมชนสายตรีพัฒนา 3 3. เพื่อศึกษาคุณค่า มูลค่า และความสำคัญผ่านอัตลักษณ์ประเพณีตีผึ้งชุมชนสายตรีพัฒนา 3 4. เพื่อค้นหาการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากผึ้งที่เป็นอัตลักษณ์ชุมชนสายตรีพัฒนา 3 ตำบลบึงเจริญ อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ โดยใช้กระบวนการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น (Community Base Research: CBR) คณะผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ประกอบการสรุปภาพรวม (Generalization) เพื่อให้ผลจากการศึกษาวิจัยครอบคลุมทั้งมิติเชิงลึกและกว้าง โดยทำการศึกษาจากการสัมภาษณ์เชิงลึกรายบุคคล การสัมภาษณ์รายบุคคล การสนทนากลุ่ม การจัดเวทีประชาคม การเดินสำรวจชุมชน การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม การศึกษาจากข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ และการสืบค้นข้อมูลจากระบบสารสนเทศ ผลการศึกษาพบว่า ชุมชนสายตรีพัฒนา 3 ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2521 ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ 3 ชาติพันธุ์ คือ เขมร ลาว กูย มีประเพณีที่เป็นอัตลักษณ์ประจำท้องถิ่น คือ ประเพณีตีผึ้งในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี ประเพณีดังกล่าว สามารถสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนจำนวนมาก แต่ชุมชนยังไม่สามารถเพิ่มคุณค่า และมูลค่าจากวัตถุดิบเหลือใช้จากผึ้งได้ จึงเกิดแผนงาน 3 แผนงาน คือ 1. แผนการสร้างแหล่งอาหารของผึ้ง ประกอบด้วย 1.1 การสร้างแหล่งอาหารผึ้งในระดับครัวเรือน โดยการปลูกไม้ดอกอาหารผึ้ง และพืชผักสวนครัวที่สามารถเป็นอาหารผึ้งได้ 1.2 การสร้างแหล่งอาหารผึ้งในระดับชุมชน โดยใช้พื้นที่รอบสระติดกับต้นไทร ปลูกไม้ดอกไม้ประดับ และพืชผักสวนครัว เป็นต้น 1.3 การบริหารจัดการน้ำเพื่อใช้ในฤดูแล้ง 2. แผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าจากผึ้ง ประกอบด้วย 2.1 ผลิตสบู่ทดลองใช้ในชุมชน 2.2 พัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นอัตลักษณ์ของชุมชน และ 3. แผนการสื่อสารประชาสัมพันธ์ชุมชน ประกอบด้วย 3.1 ทำป้ายประวัติพ่อปู่บุญมา ข้อมูลแหล่งอาหารของผึ้ง ข้อมูลแหล่งน้ำของผึ้ง เพื่อให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยว 3.2 กันพื้นที่บริเวณโดยรอบต้นไทร เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวนำรถยนต์เข้าไปจอด ป้องกันการรบกวนผึ้ง
2562-12-12T00:00:00Z
-
การวิเคราะห์การใช้คำเขมรในงานพระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร : กรณีศึกษาจากกาพย์เห่เรือ นิราศธารทองแดง และนิราศธารโศก
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5968
การวิเคราะห์การใช้คำเขมรในงานพระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร : กรณีศึกษาจากกาพย์เห่เรือ นิราศธารทองแดง และนิราศธารโศก
ณภัทร เชาว์นวม
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์การใช้คำเขมรจากงานพระนิพนธ์ในเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร เรื่องกาพย์เห่เรือ นิราศธารทองแดง และนิราศธารโศก การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้วิธีการศึกษาตัวบทวรรณคดีทั้ง 3 เรื่องดังกล่าวแบบอ่านละเอียด แล้ววิเคราะห์รูปคำและความหมายของคำเขมรที่ปรากฏ ผลการวิจัยพบว่า
เรื่องกาพย์เห่เรือ ปรากฏการใช้คำเขมรจำนวน 60 คำ ผลการวิเคราะห์รูปคำที่ปรากฏ พบว่า คำที่ยังคงรูปคำเดิมมี 26 คำ คำที่เปลี่ยนแปลงรูปพยัญชนะมี 11 คำ คำที่เปลี่ยนแปลงรูปสระมี 10 คำ และ คำที่เปลี่ยนแปลงรูปพยัญชนะและสระมี 13 คำ ผลการวิเคราะห์ความหมาย พบว่า คำที่ยังคงความหมายเดิม มี 35 คำ คำที่ความหมายแคบเข้ามี 15 คำ และ คำที่ความหมายย้ายที่มี 10 คำ
เรื่องนิราศธารทองแดง ปรากฏการใช้คำเขมรจำนวน 157 คำ ผลการวิเคราะห์รูปคำที่ปรากฏ พบว่า คำที่ยังคงรูปคำเดิมมี 48 คำ คำที่เปลี่ยนแปลงรูปพยัญชนะมี 39 คำ คำที่เปลี่ยนแปลงรูปสระมี 24 คำ และ คำที่เปลี่ยนแปลงรูปพยัญชนะและสระมี 36 คำ ผลการวิเคราะห์ความหมาย พบว่า คำที่ยังคงความหมายเดิมมี 122 คำ คำที่ความหมายแคบเข้ามี 25 คำ และ คำที่ความหมายย้ายที่มี 10 คำ
เรื่องนิราศธารโศก ปรากฏการใช้คำเขมรจำนวน 178 คำ ผลการวิเคราะห์รูปคำที่ปรากฏ พบว่า คำที่ยังคงรูปคำเดิมมี 65 คำ คำที่เปลี่ยนแปลงรูปพยัญชนะมี 37 คำ คำที่คำที่เปลี่ยนแปลงรูปสระมี 40 คำ และ คำที่เปลี่ยนแปลงรูปพยัญชนะและสระมี 35 คำ ผลการวิเคราะห์ความหมาย พบว่า คำที่ยังคงความหมายเดิม มี 146 คำ คำที่ความหมายแคบเข้ามี 27 คำ และ คำที่ความหมายย้ายที่มี 5 คำ
ผลการศึกษาส่งผลให้ผู้วิจัยได้ข้อค้นพบเกี่ยวกับลักษณะของคำเขมรที่ปรากฏใช้ในวรรณคดีไทยทั้ง 3 เรื่อง ดังกล่าว ในประเด็นรูปคำและความหมาย ที่มีทั้งคงเดิมและเปลี่ยนแปลง งานวิจัยนี้สามารถใช้เป็นกรณีศึกษาเรื่องลักษณะการยืมคำภาษาเขมรในภาษาและวรรณคดีไทยได้
คำสำคัญ: คำเขมร รูปคำ ความหมาย
2017-10-01T00:00:00Z
-
ผลสัมฤทธิ์ของการใช้ภาษาเขมรเพื่อการสื่อสารเบื้องต้น : กรณีศึกษาจากการเรียนการสอน รายวิชา ๑๕๔๑๕๐๑ ภาษาเขมร ๑ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5966
ผลสัมฤทธิ์ของการใช้ภาษาเขมรเพื่อการสื่อสารเบื้องต้น : กรณีศึกษาจากการเรียนการสอน รายวิชา ๑๕๔๑๕๐๑ ภาษาเขมร ๑ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์
เชาว์นวม, ณภัทร
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ของการใช้ภาษาเขมรเพื่อการสื่อสารเบื้องต้นและเพื่อศึกษาปัญหาจากการเรียนการสอน ในรายวิชา ๑๕๔๑๕๐๑ ภาษาเขมร ๑ ในภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๖ มีนักศึกษากลุ่มเป้าหมายคือนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาดังกล่าว จำนวน ๖๘ คน โดยประเมินผลสัมฤทธิ์ของการใช้ภาษาเขมรเพื่อการสื่อสารเบื้องต้นจากเครื่องมือวิจัยที่วัดผลครอบคลุมทักษะการสื่อสาร ได้แก่ การเขียน การอ่าน การพูดและการฟัง ผลการวิจัย พบว่ากลุ่มเป้าหมายได้ระดับคะแนนเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ ๘๔.๐๔ ร้อยละ ๗๓.๕๓ และร้อยละ ๘๒.๑๓ ตามลำดับ จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่เมื่อวัดผลจากการสอบข้อเขียนคิดเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ ๔๕.๓๘ จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ ปรับปรุง
ผลการจัดการเรียนการสอนของรายวิชา มีนักศึกษากลุ่มเป้าหมายได้ผลการเรียนระดับ คะแนน A จำนวน ๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๔.๔๑ ได้ผลการเรียนระดับคะแนน B+ จำนวน ๘ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๑.๗๖ ได้ผลการเรียนระดับคะแนน B จำนวน ๑๑ คิดเป็นร้อยละ ๑๖.๑๘ ได้ผล การเรียนระดับคะแนน C+ จำนวน ๗ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐.๒๙ ได้ผลการเรียนระดับคะแนน C จำนวน ๑๒ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๗.๖๕ ได้ผลการเรียนระดับคะแนน D+ จำนวน ๙ คน คิดเป็น ร้อยละ ๑๓.๒๔ ได้รับผลการเรียนระดับคะแนน D จำนวน ๑๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๙.๑๒ และได้ ผลการเรียนระดับคะแนน E จำนวน ๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๗.๓๕
ด้วยจำนวนนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนมากถึง ๖๘ คน ส่งผลให้บรรยากาศการจัดเรียน การสอนที่แออัดตลอดจนการบรรยายและการจัดกิจกรรมในชั้นเรียนค่อนข้างเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึง ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวกับความเหมาะสมของการจัดหมู่เรียนที่ควรแก้ไขต่อไป
ผลงานวิจัยในชั้นเรียนนี้ ยังผลให้ผู้วิจัยในฐานะผู้สอนได้ทบทวนบทบาทของตนเพื่อพัฒนาการจัดเรียนการสอนรายวิชาด้านภาษาและตระหนักรู้ถึงการออกแบบการสอนและการใช้ เครื่องมือที่เหมาะสมกับพื้นฐานความรู้ของนักศึกษา เพื่อให้นักศึกษาเกิดทักษะภาษาเขมรตามวัตถุประสงค์รายวิชา สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในโอกาสอันเหมาะสม
คำสำคัญ: ผลสัมฤทธิ์, การใช้ภาษาเขมรเพื่อการสื่อสารเบื้องต้น
2014-12-01T00:00:00Z
-
การพัฒนากรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ และการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูภาษาไทย
http://dspace.bru.ac.th/xmlui/handle/123456789/5962
การพัฒนากรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ และการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูภาษาไทย
Namhiran, Uphawan
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างกรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการ
เรียนรู้และการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูภาษาไทย 2) สร้างแบบประเมินสมรรถนะด้านการ
จัดการเรียนรู้และการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูภาษาไทย 3) หาดัชนีความสอดคล้องของ
กรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้และศึกษาผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียนรู้เฉพาะด้าน
ของนักศึกษาครูภาษาไทย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักศึกษาคณะครุศาสตร์ สาขาวิชา
ภาษาไทย จ านวน 78 คน กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาได้มาจากการเลือกสุ่มอย่างง่าย (Simple Random
Sampling) เป็นนักศึกษาสาขาวิชาภาษาไทย จ านวน 30 คน ในกิจกรรมการเตรียมความพร้อมด้าน
การสอนด้วยการทดลองสอนแบบจุลภาคใช้เวลาเรียนต่อเนื่อง 15 สัปดาห์ ระหว่างเดือนสิงหาคม
พ.ศ. 2558–มีนาคม พ.ศ. 2559
การวิจัยครั้งนี้ใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา โดยสังเคราะห์กรอบการประเมินสมรรถนะด้าน
การจัดการเรียนรู้และการรู้วิชาเฉพาะด้านภาษาไทย ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทางด้านการจัดการเรียนรู้
การวัดและประเมินผล ครู อาจารย์ผู้สอนภาษาไทยในระดับอุดมศึกษาและ จ านวน 5 คน จาก
การสนทนากลุ่ม เพื่อสังเคราะห์และออกแบบกรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้
5 องค์ประกอบ ได้แก่ การวางแผนส าหรับการจัดเรียนรู้ (ก่อนการสอน) ให้สอดคล้องกับหลังสอน
การจัดบรรยากาศในการเรียนรู้ กลยุทธ์ในการกระตุ้นผู้เรียนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมี
ประสิทธิภาพ ผลย้อนกลับและการประเมินผลผู้เรียน และสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ (หลังสอน)
โดยผู้เชี่ยวชาญพิจารณาและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความสอดคล้อง ความเหมาะสม และความสะดวก
ในการน าไปใช้ประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ตามตัวชี้วัดของกรอบการประเมินฯ
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินตามเกณฑ์การประเมินสมรรถนะด้านการจัดการ
เรียนรู้ซึ่งได้ก าหนดเกณฑ์และตัวชี้วัดส าหรับการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้จาก
หลักสูตรแกนกลาง 5 กลุ่มสาระ แบบทดสอบวัดการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูภาษาไทยเป็น
แบบทดสอบแบบปรนัยแบบเลือกตอบ 5 ตัวเลือก จ านวน 120 ข้อ มีค่าความยาก 0.25-0.74 ค่า
อ านาจจ าแนก 0.21-0.54 และความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ (Lovett Reliability) 0.804
ข
ผลการวิจัยพบว่า
1. จากการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้องของผู้ประเมินตามกรอบการประเมินสมรรถนะ
ด้านการจัดการเรียนรู้ในการประเมินการทดลองสอนแบบจุลภาคของนักศึกษาครูภาษาไทยผู้ประเมิน
5 คน ให้คะแนนด้านสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ได้สอดคล้องกันทุกตัวชี้วัดตามเกณฑ์
การประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางของกรอบการประเมินสมรรถนะด้านการ
จัดการเรียนรู้ดังนั้นกรอบการประเมินสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีความ
เหมาะสมและมีความน่าเชื่อถือของเกณฑ์การประเมินและตัวชี้วัดในระดับสูง จึงสามารถน าไปประเมิน
สมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาครู หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาภาษาไทยได้
2. การวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ด้านการรู้วิชาเฉพาะด้านของนักศึกษาครูภาษาไทย พบว่าคะแนน
สอบการรู้วิชาเฉพาะด้านภาษาไทยของผู้เรียนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเกณฑ์(ร้อยละ 70) อย่างมี
นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05
0259-06-01T00:00:00Z