Abstract:
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนาแบบฝึกทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง พื้นฐานทางเรขาคณิต สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีประสิทธิภาพตามดเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะกับการเรียนแบบปกติ 3) เปรียบเทียบความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนชันมัธยมศึกษาปีที 1 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะและการเรียนแบบปกติ 4) ศึกาดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนมัธยมศึกาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนอนุบาลกระสัง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกาบุรีรัมย์ เขต 2 ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบ (Cluster Random Samping) จำนวน 2 ห้องเรียน จากนั้นทำการสุ่มอย่างง่าย (Sample Random Sampling) โดยการจับสลากเป็นกลุ่มทดลอง 1 ห้องเรียน และเป็นกลุ่มควบคุม 1 ห้องเรียน โดยมีนักเรียนห้องละ 25 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบฝึกทักษะเรื่องพื้นฐานทางเรขาคณิต กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 12 ชุด 2) แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบการใช้ แบบฝึกทักษะ เรื่องพื้นฐานเรขาคณิต จำนวน 12 แผน และ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องพื้นฐานเรขาคณิต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 5 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมุติฐานโดยใช้ Independent Samples t-test และ dependent Samples t-test ผลการวิจัยพบว่า 1. แบบฝึกทักษะ เรื่องพื้นฐานทางเรขาคณิต กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิ?ธิภาพ เท่ากับ 91.33/82.00 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่กำหนด 2. นักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องพื้นฐานทางเรขาคณิต กับนักเรียนที่เรียนแบบปกติ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนทดสองไม่แตกต่างกัน แต่หลังการทดลองนักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่เรียนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. ความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะสูงกว่านักเรียนที่เรียนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4. ดัชนีประสิทธิผลการเรียนรู้ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่องพื้นฐานทางเรขาคณิตเท่ากับ 0.6845 แสดงว่านักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น 0.6845 หรือคิดเป็นร้อยละ 68.45